วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2552

วิธีการกินอาหารเพื่อสุขภาพ

ในแต่ละวันเราจำเป็นต้องรับประทานอาหารมากมาย มีคำแนะนำจากหลายสำนักให้กินนั่น ห้ามกินนี่จนไม่รู้จะเชื่อใครดี วันนี้เราจึงมีเคล็ดลับง่ายๆ ของการกินให้ได้ประโยชน์สูงสุดต่อสุขภาพอย่างเต็มที่มาฝาก
1. กินอาหารเช้า เป็นพฤติกรรมพื้นฐานที่ส่งผลต่อจิตใจ และพลังชีวิตของคุณไปตลอดทั้งวัน และช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ ช่วยเผาผลาญพลังงานให้ดีขึ้น ทำให้คุณกินอาหารในมื้ออื่นๆ น้อยลง
2. เปลี่ยนน้ำมันที่ใช้ปรุงอาหาร ยอมจ่ายแพงสักนิดใช้น้ำมันมะกอก หรือน้ำมันดอกทานตะวัน ปรุงอาหารแทนน้ำมันแบบเดิมที่เคยใช้ เพราะเป็นไขมันที่ไม่เป็นโทษต่อร่างกาย และมีกรดไขมันอิ่มตัวที่เป็นประโยชน์ ช่วยลดไขมันในเส้นเลือดได้เป็นอย่างดี
3. ดื่มน้ำให้มากขึ้น คนเราควรดื่มน้ำวันละ 2 ลิตรเป็นอย่างน้อย (ยกเว้นในรายที่ไตทำงานผิดปกติ) เพื่อหล่อเลี้ยงเซลล์ในร่างกาย ฟื้นฟูระบบขับถ่าย รักษาระดับความเข้มข้นของเลือด จะทำให้สดชื่นตลอดวันเลยทีเดียว
4. เสริมสร้างแคลเซียมให้กับกระดูก ด้วยการดื่มนม กินปลาตัวเล็กทั้งตัวทั้งก้าง เต้าหู้ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง ผักใบเขียว เพราะแคลเซียมเป็นสิ่งจำเป็นที่จะเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อและกระดูก ทำให้ระบบประสาททำงานได้เต็มประสิทธิภาพ
5. บอกลาขนมและของกินจุบจิบ ตัดของโปรดประเภทโดนัท คุกกี้ เค้กหน้าครีมหนานุ่ม ออกจากชีวิตบ้าง แล้วหันมากินผลไม้เป็นของว่างแทน วิตามิน และกากใยในผลไม้ มีประโยชน์กว่าไขมัน และน้ำตาลจากขนมหวานเป็นไหนๆ
6. สร้างความคุ้นเคยกับการกินธัญพืชและข้าวกล้อง เมล็ดทานตะวัน ข้าวฟ่างและลูกเดือย รวมทั้งข้าวกล้องที่เคยคิดว่าเป็นอาหารนก ได้มีการศึกษาและค้นคว้าแล้ว พบว่า ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจถึง 1 ใน 3 เลยทีเดียว เพราะอุดมไปด้วยไฟเบอร์ ที่ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และควบคุมน้ำตาลในเลือดให้สมดุล
7. จัดน้ำชาให้ตัวเอง ทั้งชาดำ ชาเขียว ชาอู่ล่ง หรือเอิร์ลเกรย์ ล้วนแล้วแต่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ การดื่มชาวันละ 1 ถึง 3 แก้ว ช่วยลดอัตราเสี่ยงมะเร็งกระเพาะอาหารถึง 30%
8. กินให้ครบทุกสิ่งที่ธรรมชาติมี คุณต้องพยายามรับประทานผักผลไม้ต่างๆ ให้หลากสี เป็นต้นว่า สีแดงมะเขือเทศ สีม่วงองุ่น สีเขียวบล็อกเคอรี สีส้มแครอท อย่ายึดติดอยู่กับการกินอะไรเพียงอย่างเดียว เพราะพืชต่างสีกัน มีสารอาหารต่างชนิดกัน แถมยังเป็นการเพิ่มสีสันการกินให้กับคุณด้วย
9. เปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนรักปลา การกินปลาอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง ได้ทั้งความฉลาดและแข็งแรง เพราะปลามีกรดไขมันโอเมก้า 3 และโปรตีน ที่ช่วยควบคุมการเต้นของหัวใจให้เป็นปกติ และบำรุงเซลล์สมอง ทั้งยังมีไขมันน้อย อร่อย ย่อยง่าย เหมาะสำหรับคนที่ต้องการหุ่นเพรียวลมเป็นที่สุด
10. กินถั่วให้เป็นนิสัย ทำให้ถั่วเป็นส่วนหนึ่งของอาหารที่คุณต้องกินทุกวัน วันละสัก 2 ช้อน ไม่ว่าจะเป็นของหวานของคาว หรือว่าของว่างก็ทั้งโปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุสำคัญๆ หลายชนิด ต่างพากันไปชุมนุมอยู่ในถั่วเหล่านี้ ควรกินถั่วอย่างสม่ำเสมอ แต่ไม่ควรกินครั้งละมากๆ เพราะมีแคลอรี่

สารเสพติดและผลต่อร่างกาย

สารเสพติดและผลต่อร่างกาย

ใบความรู้
สารเสพติดทุกชนิดล้วนเป็นมหันตภัย เพราะทำลายสุขภาพของผู้เสพทั้งทางร่างกายและจิตใจ ทำให้เกิดการสูญเสียทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล ทำลายความสงบสุขของครอบครัวและสังคม การหลีกเลี่ยงจากสารเสพติดจึงเป็นหนทางหนึ่งที่ช่วยให้ตนเอง ครอบครัว และสังคม มีความแข็งแรง ปลอดภัย และสงบสุข ความหมายของสารเสพติด
องค์การ อนามัยโลกให้ความหมายของสารเสพติดไว้ว่า สารเสพติด หมายถึง สิ่งที่รับเข้าสู่ร่างกายไม่ว่าจะเป็นการรับประทาน ฉีด สูบ หรือดมติดต่อกันชั่วระยะหนึ่งแล้วมีผลต่อร่างกายและจิตใจของผู้เสพ ดังนี้
1. มีความต้องการอย่างแรงกล้าที่จะเสพต่อไปเรื่อย ๆ2. มีความโน้มเอียงที่จะเพิ่มปริมาณของสารเสพติดให้มากขึ้น3. เมื่อถึงเวลาต้องการเสพแล้วไม่ได้เสพจะเกิดอาการอยากยา โดยแสดงออกในลักษณะต่างๆ เช่น หาว อาเจียน น้ำหูน้ำตาไหล ทุรนทุราย คลุ้มคลั่ง ขาดสติ โมโห ฉุนเฉียว เป็นต้น4. ผู้ที่ใช้สารเสพติดเป็นเวลานานจะทำให้เกิดผลร้ายต่อสุขภาพของผู้เสพทั้งทางร่างกายและจิตใจ
การแบ่งประเภทของสารเสพติดตามการออกฤทธิ์

­
­


4. ออกฤทธิ์หลอนประสาท ผู้เสพจะรู้สึกเพ้อฝัน สะลึมสะลือ สารนี้จะพบในแอลเอสดี เห็ดขี้ควาย
1. ออกฤทธิ์แบบผสมผสาน ผู้เสพในระยะแรก จะมีอาการแบบหนึ่ง สักพักก็จะมีอาการเปลี่ยนไปจากเดิม สารนี้จะพบในกัญชา
2. ออกฤทธิ์กดประสาท ผู้เสพจะรู้สึกไม่อยากทำงาน เฉื่อยชา อ่อนเพลีย สารนี้จะพบในฝิ่น เฮโรอีน เหล้าแห้ง สารระเหย

สารเสพติดในประเทศไทยสารเสพติดให้โทษมีมากมายหลายประเภท สำหรับประเทศไทยสารเสพติดที่รู้จักกันดี ได้แก่ ฝิ่น มอร์ฟีน เฮโรอีน กัญชา กระท่อม ยาบ้า เอ็คตาซี (ยาอี) สารระเหยสาเหตุที่ทำให้ติดสารเสพติด
สาเหตุสำคัญของการติดสารเสพติด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มวัยรุ่นมักเกิดจาก
1. การถูกชักชวน มักจะเกิดกับเด็กที่มีปัญหาทางครอบครัว ขาดความอบอุ่น เชื่อเพื่อน อาศัยเพื่อนเป็นที่พึ่ง
2. การอยากทดลอง อยากรู้อยากเห็น โดยมีความคิดว่าจะไม่ติดง่าย ๆ แต่เมื่อทดลองเสพเข้าไปแล้วมักจะมีความคิดอยากกลับมาเสพอีก
3. การถูกหลอกลวง ผู้ถูกหลอกลวงไม่ทราบว่าเป็นสารเสพติดให้โทษร้ายแรง คิดว่าไม่มีพิษร้ายแรง ผลสุดท้ายก็กลายเป็นผู้ติดสารเสพติด
4. สาเหตุทางกาย ผู้เสพต้องการบรรเทาความเจ็บป่วยทางกาย เช่น ต้องถูกผ่าตัดหรือเป็นโรคปวดศีรษะ โรคมะเร็ง จึงหันเข้าหาสารเสพติดจนติดยาในที่สุด
5. ความคึกคะนอง ต้องการแสดงความเด่นดังอวดเพื่อน ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง ทำให้ติดสารเสพติดในที่สุด
6. สิ่งแวดล้อม เช่น แหล่งชุมชนแออัด แหล่งที่มีการเสพและค้ายาเสพติด หรือสภาวะทางเศรษฐกิจบีบคั้นจิตใจ โดยคิดว่าจะช่วยให้ตนเองหลุดพ้นจาก ภาพต่าง ๆ เหล่านั้นได้
บุหรี่และแอลกอฮอล์การสูบบุหรี่ทำให้ปอดถูกทำลายเนื่องจากในควันบุหรี่มีส่วนประกอบทางเคมีที่ให้โทษ
คาร์บอนมอนอกไซด์ เป็นแก็สที่ซึมเข้าสู่กระแสเลือดได้อย่างรวดเร็ว และกันไม่ให้แก็สออกซิเจนเข้าสู่กระแสเลือดได้ ทำให้ต้องหายใจเร็วขึ้น ส่งผลให้หัวใจเต้นเร็วขึ้นด้วย
ผู้สูบบุหรี่ จะมีความรู้สึกว่า ต้องการนิโคตินและพวกเขาจะกลายเป็นคนติดบุหรี่
นิโคติน เป็นสารพิษ ทำให้หลอดเลือดแดงแคบลง หัวใจสูบฉีดเลือดได้ยากขึ้น
หลายอย่าง ดังนี้
ทาร์ และสารอื่น ๆ ที่อยู่ในควันของยาสูบ ทำให้ปอดระคายเคือง หากมีควันไอมาก จะทำให้เชื้อโรคเข้าสู่ปอดได้มากขึ้น

แอลกอฮอล์เป็นสารที่ก่อให้เกิดความมึนเมา นักเรียนอาจกลายเป็นคนติดของมึนเมาได้ ถ้าดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำทุกวัน แม้จะดื่มในปริมาณน้อย สำหรับผู้ที่ดื่มในปริมาณที่พอเหมาะ จะทำให้ผู้ดื่มมีอาการครึกครื้นสนุกสนาน ร่าเริง ทำให้ผู้ดื่มมีพฤติกรรมการแสดงออกต่าง ๆ ตารางแสดงความเข้มข้นของแอลกอฮอล์ในเลือดกับอาการของผู้ดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์

การดูแลทรัพยากรธรรมชาติ

สิ่งแวดล้อมมีทั้งสิ่งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิตเกิดจากการกระทำของมนุษย์หรือมีอยู่ตามธรรมชาติ เช่น อากาศ ดิน หิน แร่ธาตุ น้ำ ห้วย หนอง คลอง บึง ทะเลสาบ ทะเล มหาสมุทร พืชพรรณสัตว์ต่าง ๆ ภาชนะเครื่องใช้ต่าง ๆ ฯลฯ สิ่งแวดล้อมดังกล่าวจะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ โดยเฉพาะมนุษย์เป็นตัวการสำคัญยิ่งที่ทำให้สิ่งแวดล้อมเปลี่ยนแปลงทั้งในทางเสริมสร้างและทำลาย
จะเห็นว่า ความหมายของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด ต่างกันที่สิ่งแวดล้อมนั้นรวมทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฎอยู่รอบตัวเรา ส่วนทรัพยากรธรรมชาติเน้นสิ่งที่อำนวยประโยชน์แก่มนุษย์มากกว่าสิ่งอื่น
ประเภทของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ก. ทรัพยากรธรรมชาติ แบ่งตามลักษณะที่นำมาใช้ได้ 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
1. ทรัพยากรธรรมชาติประเภทใช้แล้วไม่หมดสิ้น ได้แก่
1) ประเภทที่คงอยู่ตามสภาพเดิมไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ เลย เช่น พลังงาน จากดวงอาทิตย์ ลม อากาศ ฝุ่น ใช้เท่าไรก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงไม่รู้จักหมด
2) ประเภทที่มีการเปลี่ยนแปลงได้ เนื่องจากถูกใช้ในทางที่ผิด เช่น ที่ดิน น้ำ ลักษณะภูมิประเทศ ฯลฯ ถ้าใช้ไม่เป็นจะก่อให้เกิดปัญหาตามมา ได้แก่ การปลูกพืชชนิดเดียวกันซ้ำ ๆ ซาก ๆ ในที่เดิม ย่อมทำให้ดินเสื่อมคุณภาพ ได้ผลผลิตน้อยลงถ้าต้องการให้ดินมีคุณภาพดีต้องใส่ปุ๋ยหรือปลูกพืชสลับและหมุนเวียน
2. ทรัพยากรธรรมชาติประเภทใช้แล้วหมดสิ้นไป ได้แก่
1) ประเภทที่ใช้แล้วหมดไป แต่สามารถรักษาให้คงสภาพเดิมไว้ได้ เช่น ป่าไม้ สัตว์ป่า ประชากรโลก ความอุดมสมบูรณ์ของดิน น้ำเสียจากโรงงาน น้ำในดิน ปลาบางชนิด ทัศนียภาพอันงดงาม ฯลฯ ซึ่งอาจทำให้เกิดขึ้นใหม่ได้
2) ประเภทที่ไม่อาจทำให้มีใหม่ได้ เช่น คุณสมบัติธรรมชาติของดิน พร สวรรค์ของมนุษย์ สติปัญญา เผ่าพันธุ์ของมนุษย์ชาติ ไม้พุ่ม ต้นไม้ใหญ่ ดอกไม้ป่า สัตว์บก สัตว์น้ำ ฯลฯ
3) ประเภทที่ไม่อาจรักษาไว้ได้ เมื่อใช้แล้วหมดไป แต่ยังสามารถนำมายุบให้ กลับเป็นวัตถุเช่นเดิม แล้วนำกลับมาประดิษฐ์ขึ้นใหม่ เช่น โลหะต่าง ๆ สังกะสี ทองแดง เงิน ทองคำ ฯลฯ
4) ประเภทที่ใช้แล้วหมดสิ้นไปนำกลับมาใช้อีกไม่ได้ เช่น ถ่านหิน น้ำมันก๊าซ อโลหะส่วนใหญ่ ฯลฯ ถูกนำมาใช้เพียงครั้งเดียวก็เผาไหม้หมดไป ไม่สามารถนำมาใช้ใหม่ได้
ทรัพยากรธรรมชาติหลักที่สำคัญของโลก และของประเทศไทยได้แก่ ดิน ป่าไม้ สัตว์ป่า น้ำ แร่ธาตุ และประชากร (มนุษย์)
ข. สิ่งแวดล้อม
สิ่งแวดล้อมของมนุษย์ที่อยู่รอบ ๆ ตัว ทั้งสิ่งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต ซึ่งเกิดจาก การกระทำของมนุษย์แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
1. สิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ
2. สิ่งแวดล้อมทางวัฒนธรรม หรือสิ่งแวดล้อมประดิษฐ์ หรือมนุษย์เสริมสร้างกำหนดขึ้น
สิ่งแวดล้อมธรรมชาติ จำแนกได้ 2 ชนิด คือ
1) สิ่งแวดล้อมทางกายภาพ ได้แก่ อากาศ ดิน ลักษณะภูมิประเทศ ลักษณะ ภูมิอากาศ ทัศนียภาพต่าง ๆ ภูเขา ห้วย หนอง คลอง บึง ทะเลสาบ ทะเล มหาสมุทรและทรัพยากรธรรมชาติทุกชนิด
2) สิ่งแวดล้อมทางชีวภาพหรือชีวภูมิศาสตร์ ได้แก่ พืชพันธุ์ธรรมชาติต่าง ๆ สัตว์ป่า ป่าไม้ สิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ที่อยู่รอบตัวเราและมวลมนุษย์
สิ่งแวดล้อมทางวัฒนธรรม หรือสิ่งแวดล้อมประดิษฐ์ หรือมนุษย์เสริมสร้างขึ้น ได้แก่ สิ่งแวดล้อมทางสังคมที่มนุษย์เสริมสร้างขึ้นโดยใช้กลวิธีสมัยใหม่ ตามความเหมาะสมของสังคม เศรษฐกิจ การเมือง ศาสนา และวัฒนธรรม เช่น เครื่องจักร เครื่องยนต์ รถยนต์ พัดลม โทรทัศน์ วิทยุ ฝนเทียม เขื่อน บ้านเรือน โบราณสถาน โบราณวัตถุท อื่น ๆ ได้แก่ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ค่านิยม และสุขภาพอนามัย
สิ่งแวดล้อมมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ซึ่งเกิดจากสาเหตุ 2 ประการ คือ
1) มนุษย์
2) ธรรมชาติแวดล้อม มนุษย์ เป็นตัวการเปลี่ยนแปลงสังคมเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง มากกว่าสิ่ง อื่น เช่น ชอบจับปลาในฤดูวางไข่ ใช้เครื่องมือถี่เกินไปทำให้ปลาเล็ก ๆ ติดมาด้วย ลักลอบตัดไม้ทำลายป่า เพื่อนำมาสร้างที่อยู่อาศัย ส่งเป็นสินค้า หรือเพื่อใช้พื้นที่เพาะปลูกปล่อยของเสียจากโรงงานและไอเสียจากรถยนต์ทำให้สิ่งแวดล้อมเป็นพิษ (น้ำเน่า อากาศเสีย)
ธรรมชาติแวดล้อม ส่วนใหญ่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างช้า ๆ เช่น แม่น้ำที่พัดพาตะกอนไปทับถมบริเวณน้ำท่วม และปากแม่น้ำต้องใช้เวลานานจึงจะมีตะกอนมาก การกัดเซาะพังทลายของดินก็เช่นเดียวกัน ส่วนการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วนั้นเกิดจากแรงภายในโลก เช่น แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด อื่น ๆ ได้แก่ อุทกภัยและวาตภัย ไฟป่า เป็นต้น ซึ่งภัยธรรมชาติดังกล่าวจะไม่เกิดบ่อยครั้งนัก
สรุป มนุษย์เป็นตัวการสร้าง และทำลายสิ่งแวดล้อมมากกว่าธรรมชาติ ความสำคัญของทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม
สหรัฐอเมริกา ได้ส่งดาวเทียมสำรวจทรัพยากรโลก (Earth Resources Technology Satellite หรือ ERTS) ดวงแรกของโลกเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2515 ดาวเทียมนี้จะโคจรรอบโลกจากขั้วโลกเหนือไปทางขั้วโลกใต้รวม 14 รอบต่อวันและจะโคจรกลับมาจุดเดิมอีกทุก ๆ 18 วัน ข้อมูลที่ได้จากดาวเทียมจะมีทั้งรูปภาพและเทปสมองกลบันทึกไว้ ซึ่งมีประโยชน์อย่างยิ่งในการช่วยแก้ปัญหาเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติของโลก ส่วนประเทศไทยก็ได้รับข้อมูล และภาพที่เป็นประโยชน์ในด้านการเกษตร การสำรวจทางธรณีวิทยา ป่าไม้ การชลประทาน การประมง หลังจากที่สหรัฐส่งดาวเทียมดวงแรกได้ 1 ปีแล้ว ได้ส่งสกายแล็บ และดาวเทียมตามโครงการดังกล่าวอีก 2 ดวง ในปี พ.ศ. 2520 และ พ.ศ. 2522 นับว่ามีส่วนช่วยส่งเสริมพัฒนาความรู้ในเรื่องทรัพยากรธรรมชาติและการวางโครงการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติทุกชนิดบนพื้นโลก
ทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญ ได้แก่ ป่าไม้ สัตว์ป่าและปลา น้ำ ดิน อากาศ แร่ธาตุ มนุษย์และทุ่งหญ้า

กฎหมายแรงงาน

กฎหมายแรงงาน
๑. ความสมบูรณ์ของการทำสัญญาจ้างแรงงาน
นายจ้างและลูกจ้างมีสิทธิที่จะแสดงเจตนาทำสัญญาจ้างแรงงานกันโดยทำเป็นหนังสือหรือ
โดยปากเปล่าก็ได้ แต่ต้องอยู่ภายในขอบเขตของกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และกฎหมายคุ้มครองแรงงาน
ซึ่งเป็นกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ซึ่งถ้ามีการแสดงเจตนาขัดต่อกฎหมายดังกล่าว
ย่อมทำให้ตกเป็นโมฆะได้
๒. การคุ้มครองกำหนดเวลาในการทำงาน
ให้นายจ้างกำหนดเวลาทำงานปกติของลูกจ้างไว้ดังต่อไปนี้
(๑) งานอุตสาหกรรม เช่น โรงงาน การทำเหมืองแร่ เหมืองหิน ไม่เกินสัปดาห์ละ ๔๘ ชั่วโมง
(๒) งานขนส่ง เช่น การส่งของ การขับรถโดยสาร ไม่เกินวันละ ๘ ชั่วโมง
(๓) งานที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพหรือร่างกายของลูกจ้างตามที่กระทรวงมหาดไทยจะได้กำหนด
เช่น งานที่ต้องทำใต้ดิน, ในน้ำ งานผลิตหรือขนส่งวัตถุระเบิด วัตถุไวไฟ เป็นต้น ไม่เกินสัปดาห์ละ ๔๒ ชั่วโมง
(๔) งานพาณิชยกรรม หรืองานอื่น ซึ่งไม่ใช่งานตามข้อ (๑), (๒), (๓) เช่น การซื้อขาย, แลกเปลี่ยน,
ให้, เช่าทรัพย์, รับประกันภัย การธนาคารไม่เกินสัปดาห์ละ ๕๔ ชั่วโมง
๓. สิทธิของลูกจ้างในการพักผ่อนระหว่างทำงาน
- ในวันที่ทำงาน นายจ้างต้องกำหนดให้ลูกจ้างมีเวลาพักอย่างน้อย ๑ ชั่วโมงต่อวัน ภายหลังที่ได้ให้
ทำงานไปแล้วไม่เกิน ๕ ชั่วโมง แต่นายจ้างและลูกจ้างจะตกลงกันล่วงหน้าให้มีเวลาพักน้อยกว่าครั้งละ ๑
ชั่วโมงก็ได้ แต่ต้องไม่น้อยกว่าครั้งละ ๒๐ นาที และเมื่อรวมกันแล้วต้องมีเวลาพักไม่น้อยกว่า ๑ ชั่วโมง
- กรณีที่กล่าวมา ไม่ใช้บังคับแก่ลูกจ้างที่ทำงานในหน้าที่ที่มีลักษณะต้องทำติดต่อกันไปโดยได้รับ
ความยินยอมจากลูกจ้างแล้ว หรือเป็นงานฉุกเฉินที่หยุดไม่ได้
๔. สิทธิของลูกจ้างในการมีวันหยุด
(๑) ชนิดของวันหยุด
- วันหยุดประจำสัปดาห์ ลูกจ้างมีสิทธิหยุดอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 วัน โดยวันหยุดประจำสัปดาห์
ต้องมีระยะห่างกันไม่เกิน ๖ วัน นายจ้างและลูกจ้างจะตกลงกันล่วงหน้ากำหนดให้มีวันหยุดประจำสัปดาห์
วันใดก็ได้ หรืออาจจะตกลงล่วงหน้าให้มีการสะสมและเลื่อนวันหยุดประจำสัปดาห์ไปเมื่อใดก็ได้ แต่ต้องอยู่ใน
ระยะเวลาไม่เกิน ๔ สัปดาห์ติดต่อกัน
- วันหยุดตามประเพณี ปีหนึ่งนายจ้างต้องประกาศวันหยุดไม่น้อยกว่า ปีละ ๑๓ วัน โดยรวม
วันแรงงานแห่งชาติด้วย และถ้าวันหยุดตามประเพณีวันใดตรงกับวันหยุดประจำสัปดาห์ก็ให้เลื่อนวันหยุดตาม
ประเพณีวันนั้นไปหยุดในวันทำงานถัดไป

การรันประทานอาหารในหน้าร้อน

ช่วงฤดูร้อนที่มีอากาศร้อนจัดอย่างประเทศไทย ร่างกายของคนเราต้องสูญเสียน้ำมากกว่าปกติ นอกจากการดื่มน้ำเพื่อทำให้ร่างกายสดชื่นขึ้นแล้ว การเลือกรับประทานผักผลไม้ที่มีคุณสมบัติในการลดอุณหภูมิความร้อนของร่างกายก็เป็นอีกวิธีหนึ่ง ที่จะช่วยให้ร่างกายและจิตใจสดชื่นและยังให้คุณค่าทางโภชนาการแก่ร่างกายอีกด้วย

เมืองไทยเป็นเมืองร้อนตั้งอยู่ใกล้เขตศูนย์สูตร นอกจากจะมีอากาศร้อนแล้ว ยังมีฝนตกชุก น้ำท่าอุดมสมบูรณ์ อีกทั้งยังมีดินที่มีคุณภาพดี จึงทำให้สามารถเพาะปลูกพืชผักผลไม้ได้มากมายหลายชนิด จนอาจกล่าวได้ว่าประเทศเราเป็นแหล่งอาหารของโลกหรืออีกสมญานามหนึ่งที่คนทั่วโลกรู้จักดีคือ เป็นสวนสวรรค์ของผลไม้เมืองร้อนนั่นเอง คนไทยถือว่าโชคดีที่มีผลไม้หลากหลายพันธุ์สลับกันออกผลให้ได้รับประทานกันตลอดทั้งปี หากซื้อได้ง่าย ราคาก็ถูกเมื่อเปรียบเทียบกับผลไม้ที่นำเข้าจากต่างประเทศ นอกจากนี้ผลไม้ของไทยยังมีรสชาติที่หวานฉ่ำชื่นใจ อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย ที่สำคัญคือมีทั้งคุณค่าทางโภชนาการและสรรพคุณทางยาควบคู่กันไป ทำให้สามารถบรรเทาและบำบัดอาการเจ็บป่วยเบื้องต้นได้ดี ถ้ารับประทานเป็นประจำจะช่วยป้องกันโรคต่า

การดูแลผิวหน้าไม่ให้แห้งเหี่ยว

1. ผิวแห้งและเหี่ยว อาการแรกเริ่มของผิวในหน้าหนาว เกิดจากผิวขาดความชุ่มชื้น เพราะอากาศสัมพัทธ์หรือความชื้นรอบตัวน้อย ทำให้ร่างกายเสียน้ำมากกว่าปกติ จึงแห้งและเกิดริ้วรอย บริเวณที่ผิวแห้งเป็นประจำคือ หน้าแข้ง หลังมือ แขน 2. ผิวแตก เป็นผลต่อเนื่องจากผิวแห้งที่ขาดการดูแลรักษา ทำให้ผิวหนังชั้นบนหดตัว และแห้งแตกเป็นร่อง เช่น ริมฝีปาก ส้นเท้า เป็นต้น 3. คันและอักเสบที่ผิว เมื่อผิวแห้งมักเกิดอาการคันทำให้ต้องเกา ยิ่งเกาก็ยิ่งคันมากขึ้น อาจทำให้เป็นแผลและอาการอักเสบภายหลัง 4. ผิวแพ้ง่าย ผิวที่แห้งจะไวต่อการระคายเคืองและแพ้ง่าย เพราะโดยธรรมชาติผิวต้องปิดสนิทและมีน้ำมันเคลือบผิวอยู่อีกชั้นหนึ่ง เรียกว่า Natural barrier หรือเกาะป้องกันผิว เมื่อผิวสูญเสียความชุ่มชื้นไป ผิวจะเผยอหรือเป็นขุย ทำให้เชื้อโรคจากฝุ่นละออง หรือส่วนผสมต่าง ๆ ในครีมบำรุงซึมเข้าสู่ผิวเร็วขึ้น จึงเกิดอาการแพ้และระคายเคืองได้ง่าย 5. โรคเซ็บเดิม จัดอยู่ในประเภทเดียวกับโรคภูมิแพ้ตระกูลหอบหืด แต่มีสาเหตุมาจากเชื้อยีสต์บริเวณผิวเจริญเติบโตมากผิดปกติ จนเกิดเป็นผื่น บวมแดง คัน ลอกเป็นขุยจากร่องจมูก หัวคิ้ว หนังศีรษะ หรือลุกลามไปทั้วทั้งตัวได้ พบมากและกำเริบในช่วงหน้าหนาว เนื่องจากอากาศแห้งเป็นตัวกระตุ้น มักเกิดกับคนที่มีภูมิคุ้มกันต่ำหรือมีประวัติของคนในครอบครัวเป็นโรคภูมิแพ้ โดยเฉพาะทารกและผู้สูงอายุ การรักษาคือ กินยาลดการอักเสบจำพวกเสตรียลอยด์และย่าฆ่าเชื้อยีสต์ หลีกเลี่ยงการอาบน้ำอุ่นและไม่ใช้สบู่หรือครีมใด ๆ เพิ่มปราการปกป้องผิว ปรับเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ที่ใช้ให้เหมาะกับสภาพผิว ผลิตภัณฑ์บางอย่างที่ใช้ได้ผลดีใน หน้าร้อน แต่อาจทำให้เกิดปัญหาขึ้นได้ในหน้าหนาว ควรเลือกครีมเนื้อเข้มข้น ชนิด Water in oil เพราะมีน้ำมันช่วยรักษาความชุ่มชื้นของผิวได้นานขึ้น ใครที่ผิวแห้งมากลองเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารช่วยลดการสูญเสียน้ำ อาทิ Vaseline, Petrolatum, Lanolin, Ceramide และมีส่วนผสมของ AHAs, Salicylic acid, Lactic aicd และมอยเจอร์ไรเซอร์สูง เพื่อช่วยลดการตึงตัวของผิวหนัง ใช้ครีมกันแดด หน้าหนาวมีช่วงเวลาที่แดดออกค่อนข้างสั้น แต่ในแดดนั้นจะมีรังสีอัลตราไวโอเลตอยู่มาก จึงต้องเลือกครีมกันแดดที่มี SPF ตั้งแต่ 25 ขึ้นไปเพื่อกันรังสีUVชนิด B ซึ่งทำให้ผิวไหม้เกรียม และเลือก PA (Protection Grade of UVA) ตั้งแต่ 3 บวก (PA+++) ขึ้นไป เพื่อป้องกันรังสีUV ชนิด A ซึ่งเป็นสาเหตุของความหมองคล้ำ ล้างหน้าให้ถูกวิธี โดยเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ชนิดที่มีฟองน้อย ไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ ใช้น้ำลูบใบหน้าให้เปียกก่อนแล้วจึงบีบครีมล้างหน้าใส่มือ เพื่อให้ครีมเจือจางลง ช่วยป้องกันไม่ให้ผิวหน้าแห้งและระคายเคืองได้ พยายามไม่อาบน้ำอุ่น เพราะเป็นการเร่งให้ผิวแห้งมากขึ้น และควรหลีกเลี่ยงการ อบซาวน่า หรือขัดผิวเพราะผิวกำลังอ่อนแอ กินให้สวยท้าลมหนาว ดื่มน้ำวันละ 8 แก้ว เพราะอากาศหนาวทำให้เราปัสสาวะบ่อย ร่างกายสูญเสียน้ำ ผิวจึงแห้งง่าย รับประทานผักผลไม้มากๆ ช่วงหน้าหนาวแนะนำให้กินผักผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง เช่น พริกขี้หนู พริกหวาน ส้ม มะขาม ฝรั่ง เพราะนอกจากบำรุงผิวยังช่วยเพิ่มภูมิต้านทาน ป้องกันหวัดได้อีกด้วย เด็กทารก ผู้สูงอายุ และผู้ที่ไม่สามารถย่อยน้ำตาลแลคโตสในนมได้ ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาลสูงและผลิตภัณฑ์จากนม เช่น ชีส ซุป น้ำสลัดน้ำข้น โยเกิร์ต เพราะการที่กระเพาะย่อยน้ำตาลในนมไม่ได้ ร่างกายจึงต้องไปดึงเชื้อยีสต์ในลำไส้มาช่วยย่อยน้ำตาล ทำให้เชื้อยีสต์มีจำนวนมากขึ้น(Over Growth) เมื่อถูกกระตุ้นด้วยอากาศแห้งในหน้าหนาวจะทำให้เกิดโรคเซ็บเดิม และปวดไขข้อได้ เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เช่น กาแฟ ชา จะทำให้ปัสสาวะบ่อยเนื่องจากคาเฟอีนมีส่วนในการขับปัสสาวะ แนะนำให้เลี่ยงมาดื่มเครื่องดื่มสมุนไพรหรือชาผลไม้ที่ไม่มีส่วนผสมของคาเฟอีนแทน สูตรถนอมหน้ารับลมหนาว สำหรับสาว ๆ ที่ชอบทำมาสก์เองด้วยผลิตผลจากธรรมชาติ หน้าหนาวอย่างนี้แนะนำให้ใช้นมสด 1/2 ช้อนชาและน้ำผึ้งแท้ 1/2 ช้อนชา ผสมให้เข้ากันแล้วทาหน้าทิ้งไว้ประมาณ 8-10 นาที จึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด นมสดจะช่วยให้หน้าเนียนนุ่ม ไม่แห้ง ส่วนน้ำผึ้งรักษาความชุ่มชื้นและลดการระคายเคืองได้ดี

ดูดวงวันเกิด

+ทำนายวันเกิด (แม่นๆ)วันที่ 1 จะเป็นคนรักเสรี กล้าหาญ และไม่ก้มหัวให้ใคร วันที่ 2 เพื่อนเป็นคนสำคัญ วันที่ 3 ท่านคือ เพื่อนที่แสนดี วันที่ 4 จริงใจและมั่นคง วันที่ 5 นักอุดมการณ์ หรือบางทีก็เผด็จการ วันที่ 6 อยู่ได้ด้วยความรัก วันที่ 7 นักเล่าประสบการณ์ วันที่ 8 ทุกอย่างต้องพร้อม วันที่ 9 เจ้าความคิด วันที่ 10 แข็ง...หรือไม่ก็...แกร่ง วันที่ 11 แม้จะเจ้าอารมณ์ แต่ก็สร้างสรรค์ วันที่ 12 คนเก่งที่มีเพื่อนน้อย วันที่ 13 เพื่อนขี้อ้อน วันที่ 14 น่ารักน่าคบ วันที่ 15 เห็นง่าย-รู้จักยาก วันที่ 16 ไม่ลุ่มหลงอะไรง่าย ๆ วันที่ 17 สมบูรณ์แบบวันที่ 18 ที่ปรึกษาผู้เคร่งครัดวันที่ 19 เปี่ยมด้วยกำลังภายใน วันที่ 20 อารมณ์ เหมือนใบไม้ไหว...แต่น่ารักวันที่ 21 นุ่มนวล เจ้าเสน่ห์ วันที่ 22 คงเส้นคงวา วันที่ 23 ตัวเอง คือความมั่นใจ วันที่ 24 มีน้ำใจไมตรี วันที่ 25 รวงข้าวที่มีเมล็ดมาก วันที่ 26 สุขุม มองไกล วันที่ 27 ซื่อสัตย์ยุติธรรม ประจำใจ วันที่ 28 เรื่อยเรื่อยมาเรียงเรียง วันที่ 29 รักใครไม่ผันแปร วันที่ 30 ทรราชย์น้อย วันที่ 31 ต้องการกำลังใจ

บทละครเรื่องสั้น

บทละครตอนหนึ่งเรื่องมีอยู่ว่า......

มีคนอยู่ในบทละครอยู่3คน

คนที่1เขาเป็นแฟนกับคนที่2และคนที่2ก็เลิกกับคนที่1ไปแล้ว

และได้พบเจอกับคนที่3และเขากับคนที่3ก็รักกันและเวลามันผ่านมาได้ระยะหนึ่ง

ช่วงเดือนแรกที่คนที่3และคนที่2รักกันอยู่มันก็ดีแต่คบกันได้3วันก็ทะเลาะกันบ้าง

จนคนที่2ขอเลิกกับคนที่3แต่คนที่3บอกว่าไม่เลิกและง้อเขามาโดยตลอดเวลา

จนเวลามันผ่านไประยะหนึ่งเหตุการณ์หนึ่งก็ได้เกิดขึ้นคือคนที่3ได้กระทำความผิด

ทำให้คนที่2กับคนที่3ต้องเลิกลากันไปและเราสองคนก็ต้องเลิกกันแต่อะไรหลายอย่าง

ที่มันผ่านมาในชีวิตมันมีอะไรคิดมากมายและเวลาได้ผ่านไปเราสองคนก็กลับมาคบกันอีกครั้ง

และเวลาที่เราได้กลับมาคบกันมันก็ผ่านมาได้2เดือนในคืนวันที่14.ต.ค.คบสองเดือนก็มีเรื่องแฟนเก่าของ

ของคนที่2ก็โทรมาคุยด้วยแล้ะเขาก็ชุมสายให้เราคุยด้วยเพราะคนที่1เขาบอกว่าอยากที่จะคุย

เราเองที่เป็นคนที่3ก็คุยกับเขาและทำให้เรารู้ว่าอันที่จริงคนที่2ก็ยังลืมคนที่1ไม่ได้แต่ก็ไม่อยากที่จะเสียคนที่3อย่างเราไป

เราก็ต้องบายกับคนที่2และขอเขาเลิกเราก็ไม่รู้ว่าทำไมเราถึงกล้าที่จะเลิกเป็นเพราะอะไร

แต่คนที่2บอกว่าไม่เลิกเราก็ตกลงไม่เลิกก็ไม่เลิกเพราะถ้าเราเลิกเขาจะทำร้ายตัวเอง

เราคงรู้สึกไม่ดีที่มีคนมาทำร้ายตัวเพราะคนอย่างเราหรอกนะ.

พอเราคืนดีกันก็เหมือนมีอะไรที่เขามาวุ่นวายกันมากขึ้นมากขึ้นทุกวัน

และอยู่มาวันหนึ่งคนที่2บอกว่าคนที่1มาขอคืนดี

คนที่2ก็บอกกับคนที่3ว่าเขาโทรมาอีกแล้ว

คนที่3ก็เลยบอกว่าก็กลับไปคบกับเขาดูสิ

เหตุผลที่คนที่3บอกกลับคนที่2ว่าให้เธอกลับไปคบกับคนที่1เพราะคนที่3

ได้มองเห็นถึงอนาคตแล้วว่าถ้าคนที่2คบต่ออยู่กับคนที่3มันไม่มใอไรดีขึ้นมาเลย

มันมีแต่สิ่งที่เลวร้ายลงทุกที มันต่างกันทุกอย่างทั้งฐานะทั้งอะไรหลายอย่าง

แต่คนที่2บอกว่าคนที่1เขานิสัยไม่ดีกลับไม่รักไม่ได้จริงๆ

รักไม่ลงขอรักกับเราซึ่งเป็นที่3ต่อไปเรื่อยๆ

ไม่หยุดแค่นี้ขอไปต่อเรื่อยยังไงก็รักคนที่3มากกว่า

เอาล่ะบทละครเรื่องนี้เอาเป็นว่าคนที่2เขาเลือกที่จะคบกับคนที่3

แต่บทละครเรื่องนี้มันยังไม่จบแค่นี้นะโปรดติดตามตอนต่อไป...................


ช่อฝากทุกคนอ่านบทละครเรื่องนี้แล้วช่วยคอมเม้นด้วยนะค่ะว่าคนที่3เขาควรที่จะจักการกับคนที่2อย่างไร
เม้นมาเม้นกลับนะค่ะ
รักเพื่อนรักทุกทุกคนชาว

กฎหมายบ้านเมือง

ร่วมรณรงค์สนับสนุนหลักการ “ไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย บ้านเมืองต้องกลับสู่ภาวะปกติ”
7 กันยายน 2008 โดย ruleoflawthailand
“เครือข่ายสันติประชาธรรม” ร่วมรณรงค์สนับสนุนหลักการ
ไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย บ้านเมืองต้องกลับสู่ภาวะปกติ
1. ผู้นำพันธมิตรต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
2. รัฐบาลต้องยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน
การชุมนุมเรียกร้องขับไล่รัฐบาลโดยกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ดำเนินมานานกว่า 3 เดือน และยกระดับมาสู่การบุกยึดสถานีโทรทัศน์เอ็นบีทีและทำเนียบรัฐบาลเมื่อวันที่ 26 สิงหาคมที่ผ่านมา จนนำมาสู่การปะทะกันระหว่างกลุ่มพันธมิตรและนปช. และการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินโดยรัฐบาลนี้ กล่าวได้ว่าได้ทำให้สังคมไทยกำลังเข้าสู่ทางตันและสภาวะสงครามการเมือง โดยเฉพาะเมื่อฝ่ายพันธมิตรปฏิเสธที่จะประนีประนอมหรือยอมรับการเจรจาใดๆ และปฏิเสธที่จะเคารพต่อกฎหมายของบ้านเมือง เราเห็นว่าหนทางที่จะนำสังคมไทยออกจากความรุนแรงทางการเมืองในขณะนี้ คือต้องทำให้บ้านเมืองกลับสู่ภาวะปกติเสียก่อน เพื่อให้ฝ่ายต่างๆ สามารถช่วยกันแสวงหาแนวทางปฏิรูปทางการเมืองตามวิถีทางประชาธิปไตยและสันติได้อย่างแท้จริง แต่การจะกลับสู่ภาวะปกติได้ เราขอเรียกร้องให้
1. ผู้นำพันธมิตรเข้ามอบตัวต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อต่อสู้คดีในชั้นศาลตามกระบวนการยุติธรรม เฉกเช่นประชาชนธรรมดาทั่วไป เพื่อแสดงให้สังคมไทยเห็นว่าต้องไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย และเพื่อแสดงให้เห็นว่าผู้นำพันธมิตรเคารพอำนาจศาลและกระบวนการยุติธรรมซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานอันขาดไม่ได้ของระบบนิติรัฐ ในส่วนของมวลชนของพันธมิตรย่อมมีสิทธิที่จะชุมนุมต่อต้านรัฐบาลโดยสงบสันติได้ต่อไป โดยปราศจากอาวุธใดๆ
2. รัฐบาลต้องยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน อันเป็นกฎหมายที่จำกัดสิทธิเสรีภาพในการรวมกลุ่มและแสดงความคิดเห็นทางการเมืองของประชาชน และอาจเปิดโอกาสให้เจ้าหน้าที่ของรัฐละเมิดสิทธิของประชาชนได้
3. ประชาชนร่วมกันแสดงความคิดห็นทางการเมืองอย่างสงบสันติ ทั้งนี้ ขณะที่ทั้งฝ่ายพันธมิตรและรัฐบาลต่างอ้างประชาชนเพื่อสนับสนุนความชอบธรรมของตน แต่เราเชื่อว่ายังมีประชาชนอีกจำนวนมากที่ต้องการให้บ้านเมืองกลับเข้าสู่ภาวะปกติ และเห็นการแก้ไขปัญหาบ้านเมืองด้วยสันติวิธี รักษาหลักการประชาธิปไตย และความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมายบ้านเมืองเอาไว้ แต่ประชาชนส่วนใหญ่ที่ไม่ได้เลือกข้างยังขาดช่องทางการแสดงความคิดเห็นอย่างมีพลัง เราจึงต้องการเป็นเวทีกลางที่รวบรวมความเห็นของพลังเงียบเหล่านี้เพื่อแสดงให้ทั้งฝ่ายพันธมิตรฯและรัฐบาลตระหนักถึงความคิดเห็นของพวกเขา เราเชื่อว่าทางเลือกนี้ช่วยป้องกันการปะทะเผชิญหน้าระหว่างประชาชนฝ่ายต่างๆ และหลีกเลี่ยงความบาดเจ็บสูญเสียที่อาจจะเกิดจากการสลายการชุมนุม ทั้งยังไม่ต้องรอการจัดประชามติจากรัฐบาล ซึ่งอาจจะใช้เวลานานจนไม่ทันต่อเหตุการณ์
เราจึงอยากชักชวนให้ทุกคนมาร่วมแสดงออกทางการเมืองอย่างง่ายๆ
ด้วยการรณรงค์ให้ประชาชนช่วยกันเผยแพร่และสนับสนุนหลักการ:
ไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย บ้านเมืองต้องกลับสู่ภาวะปกติ

มารยาทไทย

มารยาท หรือ มรรยาท หมายถึง กิริยาอาการ ที่ควรประพฤติปฏิบัติ อย่างมีขอบเขต หรือ มีระเบียบแบบแผนอันเหมาะสมแก่ กาละ เทศะและสังคม มารยาทไทย เป็นการเจาะจงในแบบแผนแห่งการประพฤติปฏิบัติแบบไทย ที่บรรพบุรุษได้พิจารณากำหนดขึ้นและดัดแปลงแก่ไขใช้สืบทอดกันมา

คำว่า "มารยาท" หรือ "มรรยาท" มีที่ใช้ในภาษาไทยทั้ง ๒ คำ หมายถึง กิริยาอาการที่ควรประพฤติปฏิบัติอย่างมีขอบเขตหรือมีระเบียบแบบแผนอันเหมาะสมแกกาลเทศะและสังคม กล่าวโดยรูปศัพท์ “มารยาท” หรือ “มรรยาท” ดัดแปลงมาจากภาษาบาลีว่า “มริยาท” มาจากภาษาสันสกฤตว่า “มรยาท” ซึ่งแปลว่า “ขอบเขต” หรือ “คันนา” ก็ได้ แปลว่า "ระเบียบแบบแผน” ก็ได้ สุดแต่จะใช้หมายถึงรูปธรรมหรือนามธรรม
ในพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าทรงใช้คำว่า “มริยาท” ในภาษาบาลีทั้งในความหมายว่า “คันนา” และความหมายว่า “ระเบียบแบบแผน” เป็นการใช้คำเพื่ออธิบายเปรียบเทียบเพื่อส่งเสริมศีลธรรมและแบบแผนอันดีงาม
มารยาทไทย เป็นการเจาะจงชี้แจงให้ทราบถึงขอบเขตหรือระเบียบแบบแผนแห่งการประพฤติปฏิบัติแบบไทย ที่บรรพบุรุษของเราได้พิจารณากำหนดขึ้นและดัดแปลงแก้ไขใช้สืบทอดกันมา จำแนกเป็น

ประเภท : การยืน

การเดิน

การนั่ง

การนอน

การแสดงความเคารพ

การรับของและการส่งของ

ที่มาของข้อมูล

๑. คณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ, สำนักงาน. มารยาทไทย. พิมพ์ ครั้งที่ ๓. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว, ๒๕๓๖. ๑๐๐ หน้า ภาพประกอบ.
๒. มารยาทไทย. พิมพ์ ครั้งที่ ๔ . กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว, ๒๕๓๙. ๑๐๐ หน้า ภาพประกอบ.
๓. มารยาทไทยและราชาศัพท์. กรุงเทพฯ: บรัทวิคตอรี่ พาวเวอร์พอยท์จำกัด , ม.ป.ป. ๑๐๓ หน้า. ภาพประกอบ.

ประวัติความเป็นมาคอมพิวเตอร์

คอมพิวเตอร์ที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้เป็นผลมาจากการประดิษฐ์คิดค้นเครื่องมือในการคำนวณซึ่งมีวิวัฒนาการนานมาแล้ว เริ่มจากเครื่องมือในการคำนวณเครื่องแรกคือ "ลูกคิด" (Abacus) ที่สร้างขึ้นในประเทศจีน เมื่อประมาณ 2,000-3,000 ปีมาแล้วจนกระทั่งในปี พ.ศ. 2376 นักคณิตศาสต์ชาวอังกฤษ ชื่อ ชาร์ล แบบเบจ (Charles Babbage) ได้ประดิษฐ์เครื่องวิเคราะห์ (Analytical Engine) สามารถคำนวณค่าของตรีโกณมิติ ฟังก์ชั่นต่างๆ ทางคณิตศาสตร์ การทำงานของเครื่องนี้แบ่งเป็น 3 ส่วน คือ ส่วนเก็บข้อมูล ส่วนคำนวณ และส่วนควบคุม ใช้ระบบพลังเครื่องยนต์ไอน้ำหมุนฟันเฟือง มีข้อมูลอยู่ในบัตรเจาะรู คำนวณได้โดยอัตโนมัติ และเก็บข้อมูลในหน่วยความจำ ก่อนจะพิมพ์ออกมาทางกระดาษหลักการของแบบเบจนี้เองที่ได้นำมาพัฒนาสร้างเครื่องคอมพิวเตอร์สมัยใหม่ เราจึงยกย่องให้แบบเบจเป็น บิดาแห่งเครื่องคอมพิวเตอร์หลังจากนั้นเป็นต้นมา ได้มีผู้ประดิษฐ์เครื่องคอมพิวเตอร์ขึ้นมามากมายหลายขนาด ทำให้เป็นการเริ่มยุคของคอมพิวเตอร์อย่างแท้จริง โดยสามารถจัดแบ่งคอมพิวเตอร์ออกได้เป็น 5 ยุคยุคที่หนึ่ง (First Generation Computer) พ.ศ. 2489-2501ยุคที่สอง (Second Generation Computer) พ.ศ. 2502-2506ยุคที่สาม (Third Generation Computer) พ.ศ. 2507-2512ยุคที่สี่ (Fourth Generation Computer) พ.ศ. 2513-2532ยุคที่ห้า (Fifth Generation Computer) พ.ศ. 2533 จนถึงปัจจุบัน

การป้องกันไข้หวัด2009

ปัจจุบันการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ชนิดเอ (เอช1 เอ็น1) กำลังขยายตัวไปทั่วโลก และขณะนี้ประเทศไทยพบการระบาดภายในประเทศแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานศึกษา และสถานประกอบการ ซึ่งอาจแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่นี้มีอาการคล้ายกันกับไข้หวัดหรือไข้หวัดใหญ่ธรรมดา ส่วนใหญ่มีอาการน้อยและหายได้โดยไม่ต้องรับการรักษาที่โรงพยาบาลสำหรับผู้ป่วยจำนวนไม่มากในต่างประเทศที่เสียชีวิต มักเป็นผู้ที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง เช่น โรคปอด หอบหืด โรคหัวใจและหลอดเลือด เบาหวาน เป็นต้น ผู้มีภูมิต้านทานต่ำ โรคอ้วน ผู้สูงอายุมากกว่า 65 ปี เด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี และหญิงมีครรภ์สำหรับวิธีการติดต่อและวิธีการป้องกันโรค จะคล้ายกับไข้หวัดใหญ่ธรรมดา กระทรวงสาธารณสุข จึงขอให้คำแนะนำในการป้องกันและควบคุมโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ชนิดเอ (เอช1 เอ็น1) ดังต่อไปนี้คำแนะนำสำหรับประชาชนทั่วไป1. ล้างมือบ่อยๆ ด้วยน้ำและสบู่ หรือใช้แอลกอฮอล์เจลทำความสะอาดมือ2. ไม่ใช้แก้วน้ำ หลอดดูดน้ำ ช้อนอาหาร ผ้าเช็ดมือ ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว ร่วมกับผู้อื่น3. ไม่ควรคลุกคลีใกล้ชิดกับผู้ป่วยที่มีอาการไข้หวัด4. รักษาสุขภาพให้แข็งแรง ด้วยการกินอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ ดื่มน้ำมากๆ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ5. ควรหลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่ที่มีผู้คนแออัดและอากาศถ่ายเทไม่ดีเป็นเวลานาน โดยไม่จำเป็น6. ติดตามคำแนะนำอื่นๆ ของกระทรวงสาธารณสุขอย่างใกล้ชิดคำแนะนำสำหรับผู้ป่วยไข้หวัดหรือไข้หวัดใหญ่1. หากมีอาการป่วยไม่รุนแรง เช่น ไข้ไม่สูง ไม่ซึม และรับประทานอาหารได้ สามารถรักษาตามอาการด้วยตนเองที่บ้านได้ ไม่จำเป็นต้องไปโรงพยาบาล ควรใช้พาราเซตามอลเพื่อลดไข้ (ห้ามใช้ยาแอสไพริน) นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และดื่มน้ำมากๆ2. ควรหยุดเรียน หยุดงาน จนกว่าจะหายเป็นปกติ และหลีกเลี่ยงการคลุกคลีใกล้ชิด หรือใช้สิ่งของร่วมกับผู้อื่น3. สวมหน้ากากอนามัยเมื่อจำเป็นต้องอยู่กับผู้อื่น หรือใช้กระดาษทิชชู ผ้าเช็ดหน้า ปิดปากและจมูกทุกครั้งที่ไอ จาม4. ล้างมือบ่อยๆ ด้วยน้ำและสบู่ หรือใช้แอลกอฮอล์เจลทำความสะอาดมือ โดยเฉพาะหลังการไอ จาม5. หากมีอาการรุนแรง เช่น หายใจลำบาก หอบเหนื่อย อาเจียนมาก ซึม ควรรีบไปพบแพทย์คำแนะนำสำหรับสถานศึกษา1. แนะนำให้นักเรียนที่มีอาการป่วยคล้ายไข้หวัดใหญ่ พักรักษาตัวที่บ้านหรือหอพัก หากมีอาการป่วยรุนแรง ควรรีบไปพบแพทย์2. ตรวจสอบจำนวนนักเรียนที่ขาดเรียนในแต่ละวัน หากพบขาดเรียนผิดปกติ หรือตั้งแต่ 3 คนขึ้นไปในห้องเรียนเดียวกัน และสงสัยว่าป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ ให้แจ้งต่อเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในพื้นที่ เพื่อสอบสวนและควบคุมโรค3. แนะนำให้นักเรียนที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ เฝ้าสังเกตอาการของตนเองเป็นเวลา 7 วัน ถ้ามีอาการป่วยให้หยุดพักรักษาตัวที่บ้าน4. หากสถานศึกษาสามารถให้นักเรียนที่มีอาการป่วยคล้ายไข้หวัดใหญ่ทุกคนหยุดเรียนได้ ก็จะป้องกันการแพร่กระจายเชื้อได้ดี และไม่จำเป็นต้องปิดสถานศึกษา แต่หากจะพิจารณาปิดสถานศึกษา ควรหารือร่วมกันระหว่างสถานศึกษากับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในพื้นที่5. ควรทำความสะอาดอุปกรณ์ สิ่งของ เครื่องใช้ที่มีผู้สัมผัสจำนวนมาก เช่น โต๊ะเรียน ลูกบิดประตู โทรศัพท์ ราวบันได คอมพิวเตอร์ ฯลฯ โดยการใช้น้ำผงซักฟอกเช็ดทำความสะอาดอย่างน้อยวันละ 1 - 2 ครั้ง จัดให้มีอ่างล้างมือ น้ำและสบู่อย่างเพียงพอ ในบางวันควรเปิดประตูหน้าต่างให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก และแสงแดดส่องได้ทั่วถึงคำแนะนำสำหรับสถานประกอบการและสถานที่ทำงาน1. แนะนำให้พนักงานที่มีอาการป่วยคล้ายไข้หวัดใหญ่ พักรักษาตัวที่บ้าน หากมีอาการป่วยรุนแรง ควรรีบไปพบแพทย์2. ตรวจสอบจำนวนพนักงานที่ขาดงานในแต่ละวัน หากพบขาดงานผิดปกติ หรือตั้งแต่ 3 คนขึ้นไปในแผนกเดียวกัน และสงสัยว่าป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ ให้แจ้งต่อเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในพื้นที่ เพื่อสอบสวนและควบคุมโรค3. แนะนำให้พนักงานที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ เฝ้าสังเกตอาการของตนเองเป็นเวลา 7 วัน ถ้ามีอาการป่วยให้หยุดพักรักษาตัวที่บ้าน4. ในสถานการณ์ปัจจุบัน ยังไม่แนะนำให้ปิดสถานประกอบการหรือสถานที่ทำงาน เพื่อการป้องกันการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่5. ควรทำความสะอาดอุปกรณ์ สิ่งของ เครื่องใช้ ที่มีผู้สัมผัสจำนวนมาก เช่น โต๊ะทำงาน ลูกบิดประตู โทรศัพท์ ราวบันได คอมพิวเตอร์ ฯลฯ โดยการใช้น้ำผงซักฟอกทั่วไปเช็ดทำความสะอาดอย่างน้อยวันละ 1 - 2 ครั้ง จัดให้มีอ่างล้างมือ น้ำและสบู่อย่างเพียงพอ ในบางวันควรเปิดประตู หน้าต่างให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก และแสงแดดส่องได้ทั่วถึง6. ควรจัดทำแผนการประคองกิจการในสถานประกอบการและสถานที่ทำงาน เพื่อให้สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้อย่างต่อเนื่อง หากเกิดการระบาดใหญ่ (ดูรายละเอียดในเว็บไซต์ของสำนักโรคติดต่ออุบัติใหม่ กรมควบคุมโรค

การทำงานคอมพิวเตอร์

1.อุปกรณ์ใดถือเป็นหม้อเเปลงไฟฟ้าของคอมพิวเตอร์ เเละมีหน้าที่อะไรตอบ Power Supply มีหน้าที่เป็น หม้อแปลงไฟฟ้าของระบบ เนื่องจาก อุปกรณ์ทุกชิ้น ที่ติดตั้งอยู่ภายใน PC นั้น จะต้องได้รับ ไฟฟ้าหล่อเลี้ยง มาจาก Power Supply ด้วยกันทั้งสิ้น .2.ภายใน PC จะประกอบด้วยส่วนต่างๆมากมาย เเต่ส่วนใดถือเป็นศูนย์กลางในการทำงานของคอมพิวเตอร์ เเละมีหน้าที่การทำงานอย่างไรตอบ Microprocessor มีหน้าที่ในการจัดการคำสั่ง และการประมวลผลที่มีความซับซ้อน เป็นอย่างมาก ถ้าเราเปรียบ PC กับการทำงานของมนุษย์แล้ว เราจะเปรียบ CPU ได้เท่ากับเป็นสมองของมนุษย์เลยทีเดียว คุณคงจะคุ้นเคยกันดี เวลาเลือกซื้อ PC ที่มักจะต้องคำนึงถึง CPU กันก่อน ว่าจะเลือกใช้ Pentium III, Celeron หรือ Athlon ซึ่งนี่ก็คือตัวอย่าง ที่แสดงให้เห็น ถึงความสำคัญของ CPU ได้เป็นอย่างดี .3.สิ่งเเรกที่ต้องคำนึงก่อนการเลือกซื้อ PC คือ? เพราะอะไร?ตอบ Central Processing Unit (CPU) เพราะถือเป็นส่วนที่สำคัญที่สุด และเป็นศูนย์กลาง การทำงานของ PC ตัว CPU นั้น ถือว่าเป็น microprocessor ประเภทหนึ่ง ที่มีความสามารถ ในการจัดการคำสั่ง และการประมวลผลที่มีความซับซ้อน เป็นอย่างมาก.4.Power Supply ถือเป็นหม้อเเปลงของระบบ หาก Power Supply มีปัญหา จะเกิดอะไรขึ้นกับคอมพิวเตอร์ เเละมีวิธีการเเก้อย่างไร อธิบายตอบ คอมพิวเตอร์ไม่สามารถใช้งานได้ เนื่องจากไม่มีการไหลเวียนของกระเเสไฟฟ้า